ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่ 50.8 ในเดือนพฤษภาคม จาก 52.2 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นอันดับสองในประวัฐิศาสตร์ โดยสาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับการคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากมาตรการภาษีใหม่และการประกาศเก็บภาษีนำเข้าที่กระทบต่อราคาสินค้า

ผลสำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า เกือบสามในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า การเก็บภาษีนำเข้าอาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่าเงินเฟ้ออาจพุ่งไปถึง 7.3% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

แม้ว่าสหรัฐฯ และจีนจะประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ก่อนหน้านี้ แต่การสำรวจส่วนใหญ่เสร็จสิ้นก่อนการประกาศดังกล่าว จะเห็นได้ว่าความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้ายังคงสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

📉 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน
Joanne Hsu ผู้อำนวยการ Surveys of Consumers ระบุว่า ประเด็นเรื่องภาษีถูกกล่าวถึงโดยผู้บริโภคจำนวนมากขึ้น สะท้อนถึงความกังวลที่ขยายตัวต่อภาวะเศรษฐกิจ

Federal Reserve กำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประธาน Jerome Powell เน้นย้ำว่า ธนาคารกลางต้องการมั่นใจว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวจะไม่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษี ก่อนจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย

📊 ภาพรวมตลาดและแนวโน้มต่อไป
แม้ภาษีนำเข้าจะถูกระงับชั่วคราว แต่อัตราภาษีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังคงสูงกว่าช่วงก่อนที่อดีตประธานาธิบดี Trump เข้ารับตำแหน่ง นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ประเมินว่า ภาษีอาจส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะยาวหรือไม่

รายงานดัชนีความเชื่อมั่นฉบับสมบูรณ์จะเผยแพร่ในวันที่ 30 พฤษภาคม ซึ่งอาจช่วยชี้ว่า การระงับภาษีนำเข้าช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้จริงหรือไม่