Web3 ถูกมองว่าเป็นวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตที่มุ่งเน้นไปที่ความเท่าเทียม ความเป็นธรรม และความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หัวใจสำคัญของ Web3 คือเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และการสร้างโทเค็น (Tokenization) ซึ่งนำไปสู่การกระจายอำนาจ (Decentralization) และทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ทางการเงินได้อย่างเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ความแตกต่างจาก Web2 และพลังของ Network Effects
ในยุค Web2 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Facebook หรือ TikTok มีอำนาจมหาศาลเนื่องจาก Network Effects หรือผลกระทบจากเครือข่าย Network Effects คือมูลค่าที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อทางสังคมและเครือข่ายต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม ใน Web2 มูลค่าที่ผู้ใช้สร้างขึ้นบนเครือข่ายเหล่านี้กลับถูกควบคุมโดยบริษัทส่วนกลาง และผู้ใช้ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าดังกล่าว มูลค่านี้ถูกนำไปใช้สร้างสิ่งต่างๆ เช่น AI, ChatGPT หรือรถยนต์ไร้คนขับ โดยที่ผู้ใช้ซึ่งเป็นผู้สร้างข้อมูลและขับเคลื่อน Network Effects ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรม
นอกจากนี้ รูปแบบการโฆษณาใน Web2 ส่วนใหญ่เป็นการ “Push” หรือผลักข้อมูลไปให้ผู้ใช้ ซึ่งมักมีอัตราการตอบสนองที่ต่ำ ในทางตรงกันข้าม Web3 มีลักษณะเป็นแบบ “Pull” โดยให้สิ่งจูงใจ (Incentive) แก่ผู้ใช้ เช่น การ Airdrop, การให้รางวัล, หรือมอบประสบการณ์พิเศษ เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้เข้ามามีส่วนร่วม
การสร้างโทเค็น: เปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นสินทรัพย์ทุน
การสร้างโทเค็นเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Web3 แตกต่างออกไป โทเค็นทำให้สิ่งต่างๆ ทั้งที่เสมือนจริงและจับต้องได้ กลายเป็น สินทรัพย์ทุน (Capital Asset) และยังช่วยเสริม Network Effects ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Stablecoin ซึ่งเป็นสินทรัพย์ในโลกจริง (RWA) เมื่อถูกแปลงเป็นโทเค็น จะเป็นการเพิ่มชั้นมูลค่าใหม่ ทำให้มันกลายเป็นสินทรัพย์เครือข่ายอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งขยายมูลค่าและการกระจายตัวของเงินดอลลาร์ได้มากขึ้น
แนวคิดนี้คล้ายคลึงกับการเกิดขึ้นของสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Rights) เช่น ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า หรือสิทธิบัตรในอดีต ก่อนที่จะมี IP Rights แนวคิดหรือผลงานต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เสมือนจริงนั้นไม่สามารถจับต้องมูลค่าได้ แต่เมื่อมีการยอมรับและปกป้องสิทธิ์เหล่านี้ผ่านกรอบกฎหมาย ก็ได้สร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้นมา ปัจจุบันบริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่งก็มีมูลค่ามาจากทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้
ใน Web3 การสร้างโทเค็นช่วยให้เราสามารถ “เป็นเจ้าของ” Network Effects ได้ ลองจินตนาการว่าหากผู้ใช้ทุกคนบน Instagram เป็นเหมือนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ของแพลตฟอร์ม พวกเขาจะสามารถมีส่วนร่วมในการเติบโตของเครือข่ายและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของมากขึ้น
การสร้างโทเค็นยังทำให้การปกป้องและการพิสูจน์แหล่งที่มาของผลงานสร้างสรรค์เป็นไปได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายต่ำ แทนที่จะต้องจ้างทนายความด้าน IP และเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อจดทะเบียน เราสามารถพิสูจน์แหล่งที่มาของงานสร้างสรรค์ผ่าน NFT ได้ในราคาไม่ถึงหนึ่งดอลลาร์ และทำได้ทันที ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มการศึกษา TinyTap ได้สร้าง NFT จากเนื้อหาการสอนของครู ทำให้เนื้อหานั้นกลายเป็นสินทรัพย์ทุนที่ครูสามารถขายหรือสร้างรายได้ได้
Network Effects และ Social Currency ในรูปแบบโทเค็น
แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า “Social Currency” เช่น ไลค์ (Likes) หรือ ผู้ติดตาม (Follows) ก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของมูลค่าเครือข่าย การมีผู้ติดตามจำนวนมากแสดงถึงพลังของเครือข่ายที่คุณมีและมูลค่าที่คุณสามารถสร้างได้ ใน Web2 มูลค่านี้เป็นเพียงมูลค่าเช่าที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่ Web3 ทำให้เราสามารถเป็นเจ้าของมันได้ผ่าน Digital Property Rights
บุคคลผู้มีชื่อเสียง ดารา หรือผู้ที่มี Personal Brand ที่แข็งแกร่ง และมีเครือข่ายผู้ติดตามจำนวนมาก ก็กำลังจัดการกับ “พลังงานทางสังคม” นี้อยู่แล้วในรูปแบบที่วัดผลได้ยาก โทเค็นสามารถเปลี่ยนพลังงานทางสังคมนี้ให้เป็นสินทรัพย์ทุนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อการระดมทุนเสมอไป แต่เป็นการสร้างกลไกในการวัดผลและแสดงความสัมพันธ์ เช่น แฟนเพลงสามารถแสดงตัวว่าเป็น “Super Fan” โดยการสะสมโทเค็นหรือ NFT ที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน ซึ่งอาจได้มาจากการฟังเพลงจำนวนมาก หรือจากการซื้อโทเค็นโดยตรง สิ่งนี้สร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างผู้สร้างและแฟนคลับ
กลุ่มผู้มั่งคั่งใหม่และโอกาสทางธุรกิจ
Web3 ได้สร้างกลุ่มผู้มั่งคั่งใหม่ขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผู้ที่อยู่ในแวดวงบล็อกเชนและคริปโต บริษัทต่างๆ สามารถมองคนกลุ่มนี้เป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ และพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทสินค้าหรูหราได้เข้ามาในพื้นที่ Web3 โดยการสร้างสรรค์ NFT หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เพื่อขายให้กับคนกลุ่มนี้ การใช้ข้อมูลบนบล็อกเชน (On-chain Data) ยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ เช่น การกำหนดเป้าหมายผู้ที่ถือ NFT ของ Rolex แทนที่จะเป็นการโฆษณาแบบวงกว้างใน Web2
ความถูกต้องและการตรวจสอบในโลก Web3
ในโลกที่มีการสร้างโทเค็นจำนวนมหาศาล ปัญหาเรื่องความถูกต้อง (Authenticity) และการหลอกลวง (Scam) ก็เกิดขึ้น บล็อกเชนมีส่วนช่วยในการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องได้ ในอนาคต วอลเล็ต (Wallet) อาจมีระบบบ่งชี้ว่าโทเค็นใดเป็นโทเค็นที่ถูกต้องหรือไม่ได้รับอนุญาต คล้ายกับโปรแกรมป้องกันไวรัส แม้จะไม่สามารถหยุดยั้งการออกโทเค็นหลอกลวงได้ทั้งหมด แต่การรับรองอย่างเป็นทางการจากเจ้าของแบรนด์บนบล็อกเชนสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้
กรณีของการที่บุคคลอื่นออกโทเค็นโดยใช้ชื่อหรือแบรนด์ของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นคล้ายกับการละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม Web3 อาจนำไปสู่โมเดลการแบ่งปันรายได้ (Revenue Sharing) ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน คล้ายกับระบบ Content ID ของ YouTube ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาดั้งเดิมจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการที่ผู้อื่นนำเนื้อหาของตนไปใช้
อนาคตของ Digital Identity และ AI Agents
Web3 มอบการเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้กับผู้ใช้ และทำให้เราสามารถควบคุม Digital Identity ของเราได้ Digital Identity จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง Digital Reputation ซึ่งนำไปสู่อินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ในอนาคต เราอาจไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่สามารถสร้างกรอบความน่าเชื่อถือและพิสูจน์คุณสมบัติของเราได้ผ่านเทคโนโลยีเช่น ZK Proofs ทำให้เราสามารถทำธุรกรรมหรือมีปฏิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ได้อย่างไว้ใจได้
ในอนาคตอันใกล้ (อาจไม่ใช่ 50 ปี แต่เป็น 10 ปีข้างหน้า) การทำธุรกรรมส่วนใหญ่จะดำเนินการผ่าน AI Agents สกุลเงินที่เป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับ AI Agents คือคริปโตและโทเค็น AI Agents จะมีอำนาจในการสร้างและซื้อขายโทเค็น และอาจถึงขั้นจ้างมนุษย์ทำงานให้ พวกเขาอาจแข่งขันหรือร่วมมือกับผู้เล่นในตลาดการเงินแบบดั้งเดิมอย่าง VCs หรือ Hedge Funds บล็อกเชนจะมีความสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและการตรวจสอบสำหรับปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับ AI Agents
บทบาทของ Bitcoin และอนาคตของสกุลเงิน
Bitcoin ได้พิสูจน์ตัวเองอย่างชัดเจนในฐานะ Store of Value หรือทองคำดิจิทัล ผู้คนมักเก็บ Bitcoin ไว้เป็นบัญชีเงินออม และไม่เต็มใจที่จะใช้จ่ายมัน การที่ Bitcoin มีอุปทานคงที่ (21 ล้านเหรียญ) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มันมีศักยภาพในการรักษามูลค่าในระยะยาว
สำหรับการนำไปใช้เป็นสกุลเงินเพื่อการทำธุรกรรมจำนวนมากนั้น การมีอุปทานคงที่อาจเป็นข้อจำกัดได้ เนื่องจากเมื่อมูลค่าสูงขึ้น ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมก็จะแพงขึ้น ทำให้การใช้งานจริงทำได้ยาก ในทางตรงกันข้าม สกุลเงินที่มีกลไกแบบเงินเฟ้อ (Inflationary) สามารถส่งเสริมการใช้งานในวงกว้างและเปิดโอกาสให้ผู้คนใหม่ๆ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดการสกุลเงินแบบเงินเฟ้อในระบบ Fiat โดยรัฐบาลมักนำไปสู่ปัญหาการปั่นป่วน บล็อกเชนสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อลดการคอร์รัปชันได้
กลยุทธ์ของ Animoca Brands และอนาคตของ GameFi
บริษัท Animoca Brands กำลังพิจารณาที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง โดยอาจเป็นในสหรัฐอเมริกา บริษัทให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเกม (Gaming) ซึ่งมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง แม้ว่าในปัจจุบัน Narrative ของเกม Web3 จะยังเป็นไปในเชิงลบและราคาโทเค็นจะตกต่ำเมื่อเทียบกับ AI Animoca เชื่อว่าปัจจัยกระตุ้นในอนาคต เช่น การเปิดตัว Nintendo Switch 2 และ Grand Theft Auto 6 (GTA 6) ซึ่งอาจมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมเกมโดยรวมและฟื้นฟู Narrative ของ GameFi พวกเขายังคาดการณ์ว่าเซิร์ฟเวอร์ GTA 6 RP อาจมีการใช้ “Crypto Rails” ในอนาคต เมื่อมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบสำหรับ Utility Tokens ในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ Animoca Brands ยังลงทุนในด้าน Digital Identity โดยเฉพาะการสร้าง Reputation Stack ผ่าน Mochaverse และด้านการศึกษา โดยสนับสนุนแพลตฟอร์มสินเชื่อนักศึกษาบน EDU Chain ซึ่งใช้บล็อกเชนเพื่อให้สินเชื่อมีต้นทุนต่ำลงและสร้างโอกาสให้นักศึกษาเข้าสู่โลกคริปโต
Sony Blockchain: ตัวอย่างองค์กรใหญ่เข้าสู่ Web3
การที่บริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Sony ซึ่งเป็นทั้งผู้นำด้านความบันเทิงและการเงิน ได้เปิดตัวบล็อกเชนของตัวเอง (Sonium) ถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำบล็อกเชนมาใช้ในระดับองค์กร การมีบล็อกเชนของตัวเองช่วยให้ Sony สามารถจัดการสินทรัพย์ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ บล็อกเชนทำหน้าที่เหมือน Public API ที่เปิดกว้างและไร้การอนุญาต ทำให้ผู้พัฒนาภายนอกสามารถเข้ามาสร้างสรรค์ต่อยอดบนเครือข่ายของ Sony ได้ ซึ่งแตกต่างจาก API แบบ Web2 ที่ต้องมีการขออนุญาตและมีข้อจำกัดมากกว่า
โดยสรุป Web3 และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น บล็อกเชนและการสร้างโทเค็น กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราโต้ตอบบนอินเทอร์เน็ต สร้างและเป็นเจ้าของมูลค่า และมีส่วนร่วมในเครือข่ายต่างๆ มันสร้างโอกาสใหม่ๆ ทั้งสำหรับผู้ใช้ในการได้รับมูลค่าที่พวกเขาสร้างขึ้น และสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่และสร้างโมเดลธุรกิจที่เป็นนวัตกรรมมากขึ้น อนาคตของ Web3 ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ Digital Identity, Reputation, AI Agents และแม้แต่เศรษฐกิจนอกโลก โดยมี Bitcoin ทำหน้าที่เป็นรากฐานของมูลค่าในระบบนิเวศนี้