AWS CloudFront กับ AWS S3 เกี่ยวข้องกัน หรือต่างกันอย่างไร
AWS CloudFront และ Amazon S3 เป็นบริการของ AWS ที่มักจะถูกใช้งานร่วมกัน แต่มีบทบาทและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ
ความแตกต่างพื้นฐาน
- Amazon S3 (Simple Storage Service):
- หน้าที่หลัก: เป็นบริการ Object Storage หรือพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ คุณสามารถใช้ S3 ในการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น รูปภาพ, วิดีโอ, เอกสาร, ไฟล์สำรอง, หรือแม้กระทั่งไฟล์สำหรับโฮสต์เว็บไซต์แบบ Static
- วัตถุประสงค์: การจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ทนทาน และปรับขนาดได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ S3 ออกแบบมาเพื่อเป็น “ที่เก็บ” ข้อมูลของคุณ
- การเข้าถึง: สามารถเข้าถึงไฟล์ที่เก็บใน S3 ได้โดยตรงผ่าน URL สาธารณะ (หากกำหนดสิทธิ์) หรือผ่าน API แต่การเข้าถึงโดยตรงจาก S3 จะเป็นการดึงข้อมูลจาก Region ที่ S3 Bucket ของคุณตั้งอยู่ ซึ่งอาจมี latency สูงหากผู้ใช้งานอยู่ห่างไกล
- AWS CloudFront:
- หน้าที่หลัก: เป็นบริการ Content Delivery Network (CDN) หรือเครือข่ายส่งมอบเนื้อหา CloudFront ไม่ได้ “เก็บ” ข้อมูลต้นฉบับ แต่จะทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่คัดลอก (cache) เนื้อหาจากแหล่งที่มา (Origin) เช่น S3, EC2, หรือ Web Server อื่นๆ ไปเก็บไว้ที่ Edge Locations (เซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ทั่วโลก)
- วัตถุประสงค์: เร่งความเร็วในการจัดส่งเนื้อหาให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูล โดยการส่งเนื้อหาจาก Edge Location ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากที่สุด
- การเข้าถึง: ผู้ใช้งานจะส่งคำขอไปยัง CloudFront และ CloudFront จะส่งเนื้อหาที่แคชไว้จาก Edge Location ที่ใกล้ที่สุด หากเนื้อหานั้นยังไม่ได้ถูกแคชไว้ CloudFront จะไปดึงมาจาก Origin (เช่น S3) และนำมาแคชไว้สำหรับการเรียกครั้งต่อไป
ความเกี่ยวข้องกัน (ทำไมถึงใช้ร่วมกัน?)
S3 และ CloudFront มักจะถูกใช้ร่วมกันเพื่อสร้างโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการจัดส่งเนื้อหา โดย S3 ทำหน้าที่เป็น Origin (แหล่งที่มา) ของเนื้อหา และ CloudFront ทำหน้าที่เป็น CDN เพื่อส่งมอบเนื้อหา ให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก
ตัวอย่างการทำงานร่วมกัน:
สมมติว่าคุณต้องการโฮสต์เว็บไซต์แบบ Static ที่มีรูปภาพและไฟล์ CSS/JavaScript จำนวนมาก:
- คุณจะอัปโหลดไฟล์เว็บไซต์ทั้งหมด (HTML, CSS, JS, รูปภาพ, วิดีโอ) ไปยัง Amazon S3 Bucket S3 จะเป็นที่เก็บข้อมูลหลักของเว็บไซต์ของคุณ
- คุณจะสร้าง CloudFront Distribution โดยกำหนด S3 Bucket นั้นเป็น Origin
- เมื่อมีผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ:
- คำขอจะถูกส่งไปยัง CloudFront ก่อน
- CloudFront จะตรวจสอบว่ามีเนื้อหาที่ร้องขอ (เช่น รูปภาพ) อยู่ใน Edge Location ที่ใกล้ผู้ใช้งานหรือไม่
- ถ้ามี: CloudFront จะส่งรูปภาพนั้นจาก Edge Location ได้ทันที ทำให้โหลดเร็วมาก
- ถ้าไม่มี: CloudFront จะไปดึงรูปภาพนั้นจาก S3 Bucket (Origin) และหลังจากนั้นจะแคชรูปภาพนั้นไว้ที่ Edge Location เพื่อการเข้าถึงในครั้งถัดไป
- ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: คุณสามารถกำหนดค่าให้ S3 Bucket ของคุณเป็นแบบ Private (ไม่ให้เข้าถึงโดยตรงจากภายนอก) และอนุญาตให้ CloudFront เท่านั้นที่สามารถดึงข้อมูลจาก S3 ได้ สิ่งนี้เรียกว่า Origin Access Control (OAC) หรือ Origin Access Identity (OAI) ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเนื้อหาต้นฉบับของคุณ
ประโยชน์ของการใช้ S3 ร่วมกับ CloudFront:
- ประสิทธิภาพสูงสุด: เนื้อหาถูกส่งจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากที่สุด
- ลดภาระของ S3: CloudFront จะช่วยลดจำนวนการเรียกไปยัง S3 โดยตรง ทำให้ S3 ทำงานน้อยลงและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
- ประหยัดค่าใช้จ่าย Bandwidth: โดยทั่วไปแล้ว ค่าบริการ Data Transfer Out (การส่งข้อมูลออกไปอินเทอร์เน็ต) จาก CloudFront จะถูกกว่า S3
- ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: CloudFront มีคุณสมบัติการรักษาความปลอดภัยในตัว เช่น SSL/TLS, DDoS Protection (ด้วย AWS Shield Standard) และการควบคุมการเข้าถึง
- รองรับ Traffic ปริมาณมหาศาล: ทั้ง S3 และ CloudFront ออกแบบมาเพื่อรองรับการขยายตัวในระดับโลก
โดยสรุป S3 คือ “คลังเก็บของ” ส่วน CloudFront คือ “ระบบกระจายสินค้า” ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับ “ของ” อย่างรวดเร็วที่สุดนั่นเองครับ